การเสริมซิสเตมีนไฮโดรคลอไรด์แบบเคลือบต่อสมรรถนะการเติบโตและคุณภาพซากของโคขุน
บทคัดย่อ:
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของการเสริมซิสเตมีนไฮโดรคลอไรด์แบบเคลือบ (Coated Cysteamine Hydrochloride; CSH) ที่ระดับ 0.0%, 0.5%, และ 1.0% ในสูตรอาหารข้น ต่อสมรรถนะการเติบโตและคุณภาพซากของโคขุน
การทดลองที่ 1 ใช้โคลูกผสมพันธุ์ชาร์โรเลส์เพศผู้ จำนวน 12 ตัว น้ำหนักเริ่มต้นเฉลี่ย 321±29 กิโลกรัม อายุ 2 ปี จัดการทดลองในรูปแบบ 3×3 จัตุรัสลาติน พบว่าการเสริม CSH ในระดับต่าง ๆ ไม่มีผลต่อปริมาณการกินได้ของวัตถุแห้ง เปอร์เซ็นต์การกินได้ของวัตถุแห้งต่อน้ำหนักตัว การย่อยได้ของโภชนะ การหมักในกระเพาะรูเมน และจำนวนจุลินทรีย์ในกระเพาะรูเมน รวมถึงระดับกลูโคสและไตรกลีเซอไรด์
ในเลือด ยกเว้นการเสริม CSH ที่ระดับ 1.0% ทำให้ระดับ BUN เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.05)
การทดลองที่ 2 ใช้โคลูกผสมพันธุ์ชาร์โรเลส์เพศผู้ จำนวน 21 ตัว น้ำหนักเริ่มต้นเฉลี่ย 418±31 กิโลกรัม อายุ 2-3 ปี ออกแบบการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ เลี้ยงขุน 198 วัน พบว่าปริมาณการกินได้ของวัตถุแห้งและเปอร์เซ็นต์การกินได้ของวัตถุแห้งต่อน้ำหนักตัวไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่ม (p > 0.05) อย่างไรก็ตาม การเสริม CSH ที่ระดับ 1.0% ส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อวันสูงกว่ากลุ่มควบคุมและกลุ่มที่เสริม 0.5% CSH อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) นอกจากนี้ การเสริม CSH ระดับ 1.0% มีแนวโน้มทำให้อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักลดลง (p = 0.05) ต้นทุนค่าอาหารและต้นทุนรวมเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่เสริม CSH ระดับ 0.5% และ 1.0% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (p < 0.05) อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เสริม 1.0% CSH มีรายได้จากการขายและกำไรสุทธิสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.01) ในด้านคุณภาพซาก พบว่ากลุ่มที่เสริม CSH ระดับ 1.0% มีน้ำหนักก่อนฆ่าสูงกว่ากลุ่มควบคุมและ 0.5% CSH (p < 0.05) ขณะที่การสูญเสียระหว่างบ่มซาก พื้นที่หน้าตัดเนื้อสัน ความหนาของไขมันสันหลัง และเกรดไขมันแทรกไม่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่ม (p > 0.05) โดยสัดส่วนเนื้อสันกลางและเนื้อที-โบน
ในกลุ่มที่เสริม 1.0% CSH สูงกว่ากลุ่มควบคุมและ 0.5% CSH อย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.05) ดังนั้นจากการทดลองจึงสรุปได้ว่าการเสริมซิสเตมีนไฮโดรคลอไรด์แบบเคลือบที่ระดับ 1.0% ในสูตรอาหารข้น จึงเป็นระดับที่เหมาะสมซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโตและคุณภาพซากของโคขุน
วัตถุประสงค์การวิจัย:
- เพื่อให้ทราบระดับการเสริม Cysteamine HCl ที่มีผลต่อการย่อยได้ของโคและค่าเมแทบอไลซ์
- เพื่อศึกษาอิทธิพลของการเสริม Cysteamine HCl ต่อสมรรถนะการเติบโตของโคขุน
- เพื่อศึกษาอิทธิพลของการเสริม Cysteamine HCl ต่อคุณภาพซากของโคขุน
ระเบียบวิธีวิจัย:
งานทดลองที่ 1 ศึกษาผลของการเสริมซิสเตมีนไฮโดรคลอไรด์แบบเคลือบต่อ การกินได้ การย่อยได้ กระบวนการหมักในกระเพาะรูเมน และเมแทบอไลซ์ในเลือดของโคขุน สัตว์ทดลองใช้โคลูกผสมเพศผู้พันธุ์
ชาร์โรเลส์ น้ำหนักเริ่มต้นเฉลี่ย 321±29 กิโลกรัม อายุ 2 ปี จำนวน 12 ตัว
งานทดลองที่ 2 ศึกษาผลของการเสริมซิสเตมีนไฮโดรคลอไรด์แบบเคลือบต่อการเติบโตและคุณภาพซากของโคขุน สัตว์ทดลองใช้โคลูกผสมเพศผู้ตอนพันธุ์ชาร์โรเลส์ น้ำหนักเริ่มต้นเฉลี่ย 400 กิโลกรัม อายุ 2-3 ปี จำนวน 21 ตัว
ผลการศึกษาผลของการเสริมซิสเตมีนไฮโดรคลอไรด์แบบเคลือบต่อการกินได้ การย่อยได้:
กระบวนการหมักในกระเพาะรูเมน และเมแทบอไลซ์ในเลือดของโคขุน พบว่าการเสริม CSH ในระดับที่ต่างกัน ไม่ส่งผลกระทบต่อการกินได้ของวัตถุแห้ง และเปอร์เซ็นต์การกินได้ของวัตถุแห้งต่อน้ำหนักตัว การเสริม CSH ในระดับที่ต่างกัน ไม่ส่งผลกระทบต่อการย่อยได้ของโภชนะ การเสริม CSH ในระดับที่ต่างกัน ไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการหมักในกระเพาะรูเมน การเสริม CSH ในระดับที่ต่างกัน ไม่ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากร
จุลินทรีย์ในกระเพาะรูเมน การเสริม CSH ในระดับที่ต่างกัน ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับกลูโคสและไตร์กลีเซอร์ไรด์ในเลือด แต่การเสริม CSH ที่ระดับ 1% ในสูตรอาหารข้นทำให้ระดับ BUN ในโคทดลองเพิ่มขึ้น
การเสริมซิสเตมีนไฮโดรคลอไรด์แบบเคลือบที่ระดับ 1.00% ในสูตรอาหารข้น สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโตและคุณภาพซากของโคขุน ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อวัน น้ำหนักซากอุ่น และชิ้นส่วนซากที่มีราคาสูง ถึงแม้ว่าต้นทุนค่าอาหารและต้นทุนรวมจะเพิ่มขึ้นเมื่อเสริม CSH ที่ระดับ 0.5% และ 1.0% ในสูตรอาหารข้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่การเสริม 1.0% CSH ทำให้มีรายได้จากการขายและกำไรสุทธิสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ไม่มีผลต่อการกินได้ การสูญเสียของน้ำหนักระหว่างบ่มซาก หรือคุณภาพของเนื้อซากอื่นๆ ดังนั้นจากการทดลองจึงสรุปได้ว่าการเสริมซิสเตมีนไฮโดรคลอไรด์แบบเคลือบที่ระดับ 1.0% ในสูตรอาหารข้น จึงเป็นระดับที่เหมาะสมซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโตและคุณภาพซากของโคขุน ซึ่งจะช่วยให้มีรายได้และผลกำไรจากการเลี้ยงขุนโคเพิ่มสูงขึ้น
คณะผู้วิจัย:
1) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กรรณิการ์ วงษ์พานิชย์
หน่วยงาน: คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร
เบอร์โทรศัพท์: 084-9221777 E-mail: csnkkw@ku.ac.th
2) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชรวิทย์ มีหนองใหญ่
หน่วยงาน: คณะทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร
เบอร์โทรศัพท์: 081-6016474 E-mail: csnwwm@ku.ac.th